ฉีด vs. Laser ควรรู้ก่อนเลือก…สวยปลอดภัย no risk, no ruin

การดูแลผิว รูปหน้า ในปัจจุบันมีนวัตกรรม เทคโนโลยี และเทคนิคที่น่าสนใจ ได้รับความนิยมมากมาย ทำให้เกิดคำถามจากผู้เข้ารับบริการว่า แล้วแบบไหนจึงเหมาะสมและเสี่ยงต่อผลกระทบน้อยที่สุด

หมอต้องบอกอย่างจริงใจเลยว่า ไม่ว่าเป็นการดูแลแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มงานฉีด หรือ การทำเลเซอร์ หากไม่ได้ดูแลโดยแพทย์ ล้วนอันตรายและเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบทั้งนั้นเลยค่ะ

อย่างที่เราเห็นตามข่าวและในโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่แม้แต่ การเข้ารับบริการโดยแพทย์เอง ก็มีโอกาสเกิดผลกระทบได้ หากแพทย์ประสบการณ์น้อย หรือเกิดข้อผิดพลาดระหว่างทำ หรือแม้แต่ การเลือกใช้ตัวยา เทคนิคที่ไม่เหมาะสม เพราะการดูแลในแต่ละส่วน โครงสร้างชั้นผิว และปัญหาของเรา ไม่เหมือนกัน

โครงสร้างใบหน้า สภาพผิวและปัญหาที่แตกต่างกัน แพทย์ต้องวินิจฉัยและประเมินเทคนิค ตำแหน่งที่ฉีด รวมทั้ง การกำหนดพลังงานในเครื่องเลเซอร์อย่างเหมาะสมกับแต่ละคนด้วยเช่นกัน ดังนั้น หมอจึงกล้าบอกได้เลยว่า ไม่ใช่ทุกคลินิกที่ทำได้ ผู้เข้ารับบริการ ควรศึกษาข้อมูลโดยละเอียด และพูดคุยปรึกษาแพทย์ให้เข้าใจตรงกัน ถึงเครื่องมือ เทคนิคและรวมถึงผลลัพธ์หลังทำ

กลุ่มงานฉีด จะมีระดับชั้นผิวในแต่ละชั้นที่แตกต่างของตัวยาที่ใช้ และการฟื้นฟูปัญหาในแต่ละส่วน ดังนั้น การฉีดจึงไม่ใช่การดูแลในระดับผิวเดียวกันในทุกบริการ นอกจากนี้ ในโครงสร้างผิวยังเต็มไปด้วยเส้นประสาท เส้นเลือด ที่หากประสบการณ์น้อยก็อาจฉีดผิดจุดทำให้กระทบต่อเส้นประสาท เส้นเลือดต่างๆ ทำให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน หรือ แม้แต่ หากเลือกใช้ตัวยา หรือ โปรแกรมฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็ทำให้เสี่ยงต่อผลกระทบอื่นๆ ที่มีผลต่อสุขภาพ สภาพผิว ความเจ็บป่วยต่างๆ ได้เช่นกัน

ถ้าเช่นนั้น การเข้ารับบริการฟื้นฟูผิว
ปรับโครงสร้างด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรมเลเซอร์ ดีกว่าเหรอ? 

ในส่วนนี้ ต้องพิจารณาในหลายด้านเช่นกันค่ะ หมอว่า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน ทั้งฉีด หรือเลเซอร์ ก็มีข้อดี ข้อด้อยแตกต่างกันไป โดยมากจะเป็นจุดเล็กๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้ง ระยะเวลาของผลลัพธ์และการเห็นผลด้วยเช่นกัน อย่างเช่น ในกลุ่มฉีด ผลที่ได้อาจเห็นความเปลี่ยนแปลงเร็วกว่า แต่ก็อยู่ได้ในระยะสั้นกว่า เช่น โปรแกรมฟิลเลอร์ ที่เข้ามาช่วยเติมเต็ม ยกกระชับผิว ปรับหน้า V-Shape หลังทำก็จะสังเกตเห็นความแตกต่างได้เลย แต่ก็ต้องเข้ารับบริการซ้ำอย่างน้อย 6 เดือน กลุ่มเลเซอร์ยกกระชับ ก็ต้องให้เวลาเขาหน่อย เพราะพลังงานจะเข้าไปกระตุ้นในผิวชั้น SMAS หลังทำจะเห็นความเปลี่ยนแปลง 20-30% และจะค่อยๆ ดีขึ้นใน 2 เดือน แต่เมื่อเข้าที่แล้ว ก็จะอยู่ได้นาน 6-12 เดือนเลย ซึ่งในส่วนนี้เอง ก็อยากให้เข้ามาคุยกันดูก่อน ว่าความต้องการเป็นแบบไหน หมอจะช่วยแนะนำและเลือกเทคนิคที่เหมาะสมให้ได้

อย่าลืมว่า ทุกคนมีปัญหาที่แตกต่างกัน บางคนหน้าเป๊ะ ดูไม่มีจุดด้อยเลย แต่พอมาพิจารณากันแบบละเอียดแล้ว ก็พบว่า เอ๊ะ… มันจะมีตรงนี้นะ ที่ต้องแก้ไข และก็มีมากเลย ที่ดูเหมือนใบหน้าไม่สมดุล แต่ปรากฎว่า แก้ไขนิดเดียว นิดเดียวเลยจริงๆ รูปหน้าก็เปลี่ยนได้ อย่างเคสที่หน้าดูแก่กว่าวัย ถ้าหมอพิจารณาแล้วเติมโปรแกรมฟิลเลอร์แค่นิดเดียว 0.2 มล. หน้าก็หวานได้ หน้าอิ่ม สดใสเลย ก็มีเยอะไป

อย่าปล่อยให้ความกังวลเกิดขึ้นโดยไม่หาคำตอบ

The Clover Clinic ตอบทุกความกังวล แก้ไขตรงจุดโดยแพทย์